ประวัติศาสตร์ วัน “ฝรั่งเศส” ถล่ม “นครพนม” โหมโรง “สงครามอินโดจีน”
ภาพประกอบเนื้อหา - ทหารฝรั่งเศสในเวียดนาม เมื่อ ค.ศ. 1909 (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2540)
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤศจิกายน 2540 ผู้เขียน เจริญ ตันมหาพราน เผยแพร่ วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ.2566
ทหาร ฝรั่งเศส ใน เวียดนาม
ภายหลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเพียงปีเศษ คณะราษฎรได้จัดหาปืนต่อสู้อากาศยานรุ่นแรกเข้า
มาในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2476 เรียกว่า ปตอ. แบบ 76 เป็นปืนและรถที่ผลิตโดย บริษัท วิกเกอร์อาร์สตรอง
ประเทศอังกฤษ โดยเป็นปืนอัตโนมัติขนาด 40 ม.ม. ติดตั้งบนรถพาน อัตรายิง 200 นัดต่อนาที แต่ไม่ใช้
สายกระสุนแบบปืนกลทั่วไป ใช้บรรจุเป็นแมกกาซีน แมกกาซีนละ 10 นัด เพื่อถ่วงให้เว้นจังหวะยิงเป็นช่วงๆ
ไม่ให้ลำกล้องร้อนเกินเกณฑ์ปลอดภัย
ในปีเดียวกันนั้นเองควันสงครามโลกเริ่มคุกรุ่นขึ้นทางทวีปยุโรป โดยมีนายพลออฟ ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมัน
ร่วมมือกับเบนิโต มุสโสลินี ผู้นำเผด็จการแห่งอิตาลีวางแผนยึดครองทวีปยุโรปไว้ภายใต้มหาอาณาจักร
โรม-เบอร์ลิน เยอรมันใช้ยุทธวิธีแบบสายฟ้าแลบ บุกเข้ายึดครองออสเตรีย เชโกสโลวะเกีย โปแลนด์
เดนมาร์ก นอร์เวย์ และเนเธอร์แลนด์

ตั้งแต่ พ.ศ. 2481-2482 สถานการณ์การสู้รบในยุโรป ประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษและฝรั่งเศสมิเคย
เป็นฝ่ายได้เปรียบ ทั้ง ๆ ที่เคยแผ่อิทธิพลอยู่เหนือดินแดนอินโดจีนมาแล้ว
ขณะนั้นฝรั่งเศสมีกำลังสูงสุดอยู่ในยุโรป คือ มีทหารประจำการถึง 800,000 คน และทหารกองหนุนถึง
5,500,000 คน แต่ต้องยอมจำนนต่อเยอรมันในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2483
สำหรับเหตุการณ์ทางด้านทวีปเอเชีย ช่วงที่เยอรมันบุกเข้าออสเตรียนั้น จีนเกิดการสู้รบกับญี่ปุ่นในกรณี
พิพาทการครอบครองดินแดนเกาหลี ซึ่งจีนได้สั่งซื้ออาวุธมาจากสหรัฐอเมริกามาสู้กับญี่ปุ่น โดยผ่าน
พ่อค้าคนกลางชาวฝรั่งเศสในอินโดจีน ให้จัดส่งไปทางอ่าวตังเกี่ย อันเป็นเส้นทางขนส่งสำคัญที่สุดของ
จีน ทำให้กระทรวงการต่างประเทศของฝรั่งเศสถูกญี่ปุ่นทักท้วง ผลที่สุด ฝรั่งเศสต้องยอมจำนนด้วยการ
สั่งปิดพรมแดนระหว่างอินโดจีนกับจีน
นอกจากนี้ฝรั่งเศสยังกังวลกับความพยายามของญี่ปุ่นที่มีท่าทียอมรับไทยเป็นพันธมิตร ในฐานะกลุ่มเอเชีย
ที่ยังมิเคยตกเป็นอาณานิคมการล่าเมืองขึ้นของประเทศใดมาก่อน ดังนั้นก่อนเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2483
ฝรั่งเศสได้มาทาบทามกับไทยเพื่อเจรจาทำสัญญาไม่รุกรานกัน
แต่ชาวไทยทุกคนยังคงรำลึกและจดจำเรื่องราวในอดีตได้เป็นอย่างดี ถึงการที่ฝรั่งเศสได้เคยใช้กำลังอำนาจ
บาตรใหญ่กดขี่ข่มเหง แย่งที่ดิน แย่งทรัพย์ พรากพี่น้องไทยไป โดยปราศจากศีลธรรมและเหตุผล หาเหตุ
ซ้อนเหตุโดยความเห็นแก่ได้ถ่ายเดียวเรื่อยมา ซึ่งไทยต้องเสียดินแดนไปเริ่มแต่ พ.ศ. 2410-2449 รวม
5 ครั้ง จำนวนเนื้อที่ที่เสียไปประมาณ 467,000 ตารางกิโลเมตร เกือบเทียบเท่ากับเนื้อที่ของประเทศไทย
ในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังเสียพี่น้องไทยในแคว้นเขมร 2,900,000 คน ในแคว้นลาว 940,000 คน
ไทยต้องจำยอมสูญเสียสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวให้แก่ฝรั่งเศสด้วยความเจ็บแค้นและขมขึ้นเป็นอย่างยิ่ง และ
ไม่สามารถจะตอบสนองอย่างใดได้ เพราะฝรั่งเศสมีกำลังรบเข้มแข็งกว่าไทยเป็นอันมากในระยะนั้น
เมื่อรัฐบาลไทยได้รับการทาบทามเช่นนั้น จึงมาพิจารณาดูว่าควรจะเจรจากันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น จึงได้ตอบ
ไปเมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2483 ว่า ยินดีจะรับข้อเสนอของฝรั่งเศส แต่ใคร่ขอให้ฝ่ายฝรั่งเศสตกลง
ดังนี้คือ
1. วางแนวเส้นเขตแดนลำแม่น้ำโขงให้เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือถือหลักร่องน้ำลึก
เป็นเกณฑ์
2. ให้ปรับปรุงเส้นเขตแดนให้เป็นไปตามธรรมชาติ คือ ให้ถือว่าแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนระหว่างประเทศไทย
กับอินโดจีน ตั้งแต่ทิศเหนือมาจดทิศใต้จนถึงเขตแดนกัมพูชา โดยให้ฝ่ายไทยได้รับดินแดนทางฝั่งขวาของ
แม่น้ำโขง ตรงข้ามกับหลวงพระบางและตรงข้ามกับปากเซ (อันมีปัญหาเขตแดนบ่อย ๆ) คืนมา
3. ให้ฝรั่งเศสรับรองว่า ถ้าอินโดจีนของฝรั่งเศสเปลี่ยนจากอธิปไตยฝรั่งเศสไป ฝรั่งเศสจะคืนอาณาจักรลาว
และกัมพูชาให้ไทยตามเดิม
ต่อมาวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้ตอบบันทึกของไทยเรื่องการปรับปรุงเส้นเขตแดนดังนี้
1. รัฐบาลฝรั่งเศสจะจัดผู้แทนอินโดจีนมาประชุม (ซึ่งเดิมตกลงไว้ว่าจะส่งเจ้าหน้าที่ชั้นระดับเอกอัครราชทูต
มาประชุม)
2. ฝรั่งเศสไม่ยอมเจรจาปัญหาดินแดนอื่น ๆ นอกจากปัญหาเรื่องเกาะในลำน้ำโขง
3. ฝรั่งเศสยืนยันการรักษาสถานภาพทางการเมืองและบูรณภาพแห่งดินแดนอินโดจีนไว้ต่อการอ้างสิทธิ
ทั้งปวง และการรุกรานไม่ว่าจะมีกำเนิดมาจากทางใด
หลังจากนั้นเป็นต้นมาฝรั่งเศสเริ่มแสดงอำนาจคุกคามไทยเสมอ ๆ แม้จะพ่ายแพ้ต่อเยอรมันมาแล้วก็ตาม
เพื่อจะแสดงตนว่า ยังมีอิทธิพลหลงเหลืออยู่ โดยส่งเรือรบล่วงล้ำเข้ามาในเขตน่านน้ำไทยที่บริเวณเกาะ
ช้างในจังหวัดตราด
สำหรับทางภาคพื้นดินนั้น ฝรั่งเศสได้เคลื่อนกำลังทหารเข้าประชิดชายแดนไทยที่ป้อมสำโรง ด้านอรัญ
ประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี, ที่เสียมราฐ ด้านจังหวัดสุรินทร์, ที่ปากเซ ด้านจังหวัดอุบลราชธานี, ที่สุวรรณเขต
ด้านจังหวัดมุกดาหาร, ที่เวียงจันท์ ด้านจังหวัดหนองคาย และด้านเมืองท่าแขก ตรงข้ามกับอำเภอเมือง
นครพนม
ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน 2483 มีชาวไทยผู้หนึ่ง ชื่อนายจันทา สินทระโก ได้ถูกทหารญวนยิงตาย
ที่กรุงเวียงจันท์ เพราะไม่มีหนังสือเดินทางแสดงการผ่านแดน เรื่องนี้รัฐบาลไทยได้ประท้วงไป แต่ก็
ไม่ได้คำตอบ เพื่อเป็นการปฏิบัติตามภารกิจของการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพอากาศได้จัดส่ง
เครื่องบินไปประจำที่สนามบินจังหวัดอุดรธานี ในปลายเดือนกันยายน
วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2483 กระทรวงกลาโหมได้ส่งกำลัง 3 เหล่าทัพเข้าป้องกันรักษาชายแดน
ทางกองทัพภาคอีสาน มี พ.อ.หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต (ยศขณะนั้น) เป็นแม่ทัพ พ.อ.ผิน ชุณหะวัณ เป็น
รองแม่ทัพ มีกองบัญชาการตั้งอยู่ที่จังหวัดสุรินทร์
สำหรับด้านนครพนมนั้น มีกองร้อยทหารราบจากจังหวัดอุดรธานี โดยมี ร.อ.อรุณ อุบลบาน เป็นผู้บังคับ
กองฯ และมีเครื่องบินตรวจการณ์มาประจำอยู่ เพื่อสนับสนุนกำลังทางบกและป้องกันการล่วงล้ำอธิปไตย
น่านฟ้าไทย
ต่อมาวันอังคารที่ 8 ตุลาคม พล.ต.หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีสมัยนั้น ได้ขอมติสนับสนุนการเรียก
ร้องดินแดนไทยคืน คราวที่เสียให้แก่ฝรั่งเศสไปเมื่อ ร.ศ. 112 ยุวชนทหารและยุวนารีได้ร่วมเดินขบวน
และไปกล่าวคำปฏิญาณต่อพระแก้วมรกต และร่วมชุมนุมกันที่หน้ากระทรวงกลาโหม นับว่าเป็นการเดิน
ขบวนครั้งใหญ่ที่สุด หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
บรรดาครู นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ และประชาชนในจังหวัดพระนครและธนบุรี ร่วมหลายหมื่นคนเดิน
ขบวนแห่เรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส กำลังชุมนุมหน้ากระทรวงกลาโหม วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2483
(ภาพจากหนังสือ ไทยสมัยสร้างชาติ)
วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 นายเรืออากาศตรี ศานิต นวลมณี ได้รับคำสั่งให้จัด
เครื่องบินไปรักษาการณ์ที่นครพนม ลูกทัพฟ้าทั้งหมดจัดแจงเตรียมเครื่องบินและอาวุธ ตลอดทั้งเครื่อง
ใช้ส่วนตัวทันที
จ.อ.ประยูร สุกุมลจันทร์ ถูกสั่งให้ทำหน้าที่พลประจำปืนหลัง ประจำเครื่องบินของนายเรืออากาศตรีศานิต
เสียงเครื่องบินดังกระหึมกึกก้อง นาทีต่อมาก็ค่อย ๆ ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าทีละลำสองลำจนครบจำนวน
หลายนาทีผ่านไป เส้นสีขาวใหญ่ส่องประกายระยิบระยับปรากฏอยู่เบื้องล่าง อันเป็นเครื่องหมายแสดง
ให้รู้ว่า เข้าสู่เหนือลำแม่น้ำโขงแล้ว อีกไม่ช้าก็จะถึงจังหวัดนครพนม ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำสายนี้
ครู่ต่อมาภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องล่างคือ แผ่นดินสองประเทศที่กำลังบาดหมางกัน ตามกระแสความ
ผันผวนของบ้านเมือง ทั้ง ๆ ที่ราษฎรที่อยู่อาศัยยังคงรักใคร่ปรองดองกันเช่นพี่เหมือนน้องหาได้มีเรื่อง
โกรธเคืองเป็นการส่วนตัวไม่
ไม่นานนักนักบินก็สามารถเห็นตัวเมืองนครพนมได้แจ่มชัด จึงลดเพดานบินลง แล้วร่อนลงสู่สนามบิน
นครพนมตามลำดับ ครั้นเครื่องบินเงียบเสียงลง เสียงไชโยโห่ร้องของชาวเมืองได้ดังมาแทนที่ ในยาม
ที่ทุกคนพากันอกสั่นขวัญหายเช่นนี้ พวกทหารอากาศมิต่างกับเทวดาที่เหาะลงมาจากฟ้าลงมาโปรด
เพื่อปกป้องคุ้มกันภัยให้พวกเขา เสียงทักทาย เสียงหัวเราะดังเซ็งแช่ไปทั่วบริเวณ บ่งบอกถึงความ
ปลื้มปีติกันทุกคน พ.ต.ขุนทะยานรอนราญ (วัชระ วัชรวิบูลย์) ข้าหลวงเมืองนครพนม และ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มายืนให้การต้อนรับอย่างสมเกียรติ
รุ่งขึ้น วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 เรื่องอาหารการกินของเหล่าทหารอากาศมีอยู่อย่างสมบูรณ์
ทั้งของที่ทหารอากาศนำมาเอง รวมกับของจากน้ำใจพี่น้องชาวนครพนมด้วย หลังจากนั้นทหารทุกคน
เตรียมพร้อมอยู่ประจำเครื่องของตน เพื่อจะได้ปฏิบัติการได้ทันท่วงที หากมีเครื่องบินข้าศึกล่วงล้ำเขต
น่านฟ้าไทยเข้ามา ปรากฏว่าตลอดเช้านั้น เหตุการณ์สงบเรียบร้อยดี
จนใกล้เที่ยง นายเรืออากาศตรีศานิตชวนจ่าประยูรไปเที่ยวในเมืองนครพนม ซึ่งอยู่ห่างไกลจาก
สนามบิน 2 กิโลเมตร โดยขึ้นรถจักรยานสามล้อไปลงที่ตลาด เพื่อจะรับประทานอาหารก่อน ทันที
ที่ก้าวแรกเหยียบย่างเข้าร้านอาหาร เสียงเครื่องบินก็ดังมาแต่ไกล ความเคยชินกับเสียงเครื่องยนต์
ทำให้ลูกทัพฟ้าเข้าใจได้ทันทีว่า เสียงนั้นไม่ใช่เสียงเครื่องบินของไทย จ่าประยูร ร้องบอกไปว่า
เสียงเครื่องบินฝรั่งเศส นายเรืออากาศตรีศานิตพยักหน้าตอบว่า เป็นเครื่องบินตรวจการณ์
ในทันทีที่จบประโยค นายเรืออากาศตรีศานิตเผ่นพรวดไปที่รถจักรยานสองล้อที่จอดอยู่หน้าร้านอาหาร
คว้าขึ้นขี่พุ่งตรงไปยังสนามบินอย่างรวดเร็ว ฝ่าย จ.อ.ประยูร เหลียวซ้ายแลขวามองไม่เห็นพาหนะอื่น
ที่จะอาศัยไปได้ เลยตัดสินใจวิ่งด้วยเท้าอย่างเร่งรีบ อาศัยการวิ่งลัดตัดทาง ลูกทัพฟ้าทั้งสองได้ไป
ถึงสนามบินในเวลาไล่เลี่ยกัน
ท้องฟ้าเหนือเมืองนครพนมมีเครื่องบินรูปร่างคล้ายเบร์เก้ บินวนเวียนไปมาอยู่หลายเที่ยว ดูจากความ
เร็วและเพดานบิน สันนิษฐานว่าไม่มาประสงค์ร้าย นอกจากสำรวจถ่ายภาพสถานที่ราชการในนครพนม
พ.อ.อ.ทองใบ พันธุ์สบาย ผู้บังคับหมวดจากฝูงบินพิบูลสงคราม นำเครื่องหัวถาดคอร์แซร์ หรือแบบ 23
ไล่ตามขึ้นไปก่อน และยิงกระสุนกราดไป 21 นัด แต่เครื่องบินฝรั่งเศสลำนั้นลดระยะต่ำหลบ ขณะเดียว
กันเครื่องบินของนายเรืออากาศตรีศานิตขึ้นตามไป ตรงไปที่ทิศทางเครื่องบินข้าศึก ทันกันที่เบื้องหน้า
จ.อ.ประยูรได้ทำการยิงปืนผ่านใบพัดตนเองไป 23 นัด ไม่ปรากฏผล เครื่องบินฝ่ายตรงข้ามหายเข้า
ไปในกลีบเมฆ และใช้ป่ากับเทือกเขาอันยาวเหยียดหลบหนีไป นายเรืออากาศตรีศานิตเข้าใจว่า
ด้านหลังเมืองท่าแขกคงจะมีสนามบินข้าศึก จึงบินตรวจดูรอบ ๆ บริเวณไม่พบสิ่งใดผิดสังเกต
เลยบินกลับสู่ฐานที่นครพนมพบเครื่องบินของ พ.อ.อ.ทองใบกลับมาถึงก่อนเล็กน้อย
ในวันนั้นชาวนครพนมพากันมายืนดูและเห็นเหตุการณ์โดยตลอด และเกิดความอุ่นใจในอานุภาพของ
กำลังทัพฟ้าไทย ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็มีเสียงเล่าลือกันว่า เครื่องบินฝรั่งเศสไม่กล้าสู้เครื่องบินไทย
ลูกทัพฟ้าไม่เคยประมาทฝ่ายตรงข้ามและคิดว่าคงต้องมีเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นแน่ แต่เมื่อใดนั้นไม่มีใคร
สามารถจะตอบได้ คืนนั้นทุกคนได้ย้ายที่นอนมานอนใต้ปีกเครื่องบิน เผื่อฉุกเฉินจะได้ปฏิบัติการได้ทันที
และสั่งให้มีการพรางแสงไฟกันอย่างเคร่งครัด แต่ตลอดคืนไม่ปรากฏมีวี่แววข้าศึก
เช้ามืดวันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ความหนาวเหน็บจับขั้วหัวใจ ผสมกับความ
ตื่นเต้น ทำให้พวกลูกทัพฟ้าหลับได้ไม่สนิทนัก พอแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า นายเรืออากาศตรีศานิตมอง
หาข้าศึกไม่เห็นมา จึงชวน จ.อ.ประยูรขึ้นตรวจการณ์ที่สุวรรณเขตที่ตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง
อยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร เผื่อจะพบเครื่องบินข้าศึกไปจอดพักอยู่ ตลอดเวลาที่บินค้นหาเครื่องบินข้าศึก
ไม่ปรากฏพบมีที่ใดแปลกปลอมผิดสังเกตนอกจากทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมืองสุวรรณเขต
มีลานสร้างใหม่สภาพไม่สู้เรียบร้อย
ขณะที่เครื่องบินไทยบินวนเวียนอยู่เหนือสนาม เจ้าหน้าที่สนามข้างล่างคิดว่าพวกเดียวกัน จึงก่อไฟ
ให้เห็นทิศทางลง แต่นายเรืออากาศตรีศานิตหาสนใจไม่ คงวนเวียนอยู่สักครู่ค่อยตัดสินใจบินกลับ
ระหว่างทางได้โฉบลงเยี่ยมเยือนพี่น้องในอำเภอมุกดาหาร ทำให้ทุกคนต่างพากันแหงนหน้าต้อนรับ
กันเป็นจำนวนมาก และแสดงความยินดีอย่างน่าปลื้มใจ
ทหารไทยใน สงครามอินโดจีน หรือ กรณีพิพาทอินโดจีน (ภาพจาก ไทยในสมัยสร้างชาติ ที่ระลึกฉลอง
วันชาติ, 2484)
เมื่อกลับมาลงสนามบินนครพนมเรียบร้อยแล้ว คุณหมอรื่น ณ พัทลุง ได้มายืนให้การต้อนรับอยู่ และ
ชักชวนลูกทัพฟ้าทั้งสองไปรับประทานอาหารเช้าในเมือง โดยเข้าไปนั่งในร้านกาแฟของแป๊ะนำ ซึ่งตั้ง
อยู่ที่ท่าด่านตรวจคนเข้าเมืองริมแม่น้ำโขง อากาศเย็นสบาย มีลมพัดถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา
ขณะนั้นเวลาประมาณ 2 โมงเช้า โดยคุณหมอรื่นได้นำไข่ไก่ และกาแฟมาให้ หูก็ได้ยินเสียงเครื่องกระหึ่ม
แว่วมาจากทางท่าแขก พอหันกลับไปมองตามทิศทางของต้นเสียง ก็พบเครื่องบินสปีดไฟเตอร์ของ
ฝรั่งเศสจำนวน 5 ลำกำลังมุ่งตรงมา บินมาในระยะสูง 600 เมตร เข้ามาทางทิศใต้ของเมืองนครพนม
นายเรืออากาศตรีศานิตและคู่หูไม่รอช้า รีบกระโดดขึ้นรถสามล้อปั่นของนายปุ๋ยตรงไปที่สนามบิน
ลูกทัพอากาศทั้งสองรีบขึ้นเครื่องประจำการทันที โดยมีนายปุ๋ยสารถีผู้รักชาติเป็นคนช่วยเปิดประตู
โรงเก็บและหมุนใบพัดเครื่องบินให้ ในเวลาเดียวกันนักบินคนอื่น ๆ ก็วิ่งเข้าประจำเครื่องบินของตน
เช่นกัน แต่เครื่องนายเรืออากาศตรีศานิตซึ่งเพิ่งดับเมื่อกี้ยังอุ่นอยู่ จึงหมุนติดได้ง่ายและเริ่มวิ่งขึ้นสู่
ท้องฟ้าก่อนเป็นลำแรก
วินาทีนั้นข้าศึกได้ทิ้งระเบิดลงมาลูกหนึ่ง ทำให้เครื่องบินอีก 3 ลำที่จอดอยู่บนลานสนามบินถูกระเบิด
เสียหาย คลังน้ำมันถูกไฟไหม้ น้ำมันเชื้อเพลิงจำนวน 300 ปี๊บ ปี๊บละ 20 ลิตรถูกระเบิดเสียหายเกลี้ยง
ฝ่ายนายเรืออากาศตรีศานิตขับเครื่องขึ้นไป เห็นเครื่องบินที่เคยมาเมื่อวานนี้ โผล่หน้ามาทางท่าแขก
จึงปรี่เข้าใส่ทันที จ.อ. ประยูรบรรจุปืนกลหลังอย่างรอบคอบและพร้อมที่จะยิงทุกเวลา เครื่องบินไท
ยถูกเร่งความเร็วถึงขีดสุดดุจธนูหลุดจากแหล่ง ข้าศึกเห็นลูกทัพฟ้าไทยเอาจริง จึงเบนหัวกลับหนีไป
หาภูเขา แต่เครื่องบินตามติดอย่างกระชั้นชิดเข้าไปทุกที
“เอาข้างเข้าเทียบ” จ.อ.ประยูรตะโกนบอก เพื่อจะได้ยิงถนัด นายเรืออากาศตรีศานิตตอบมาว่า
“ขอให้อั๊วปล่อยสักก่อนหมู่เถอะ” เพื่อนคู่หูไม่ได้โต้แย้งและพร้อมที่จะยิงอยู่เสมอ ไม่ช้าก็เร็ว
ขณะนั้นเองเครื่องบินขับไล่ข้าศึกชนิดโมราน จำนวน 5 ลำ โผล่ออกมาจากซอกเขา พุ่งเข้าใส่
เครื่องบินไทยทันที
“หลงกลมันเสียแล้ว” ลูกทัพฟ้าไทยทั้งสองตะโกนเกือบพร้อมกัน จ.อ.ประยูรเหลียวไปดูทาง
นครพนม มองเครื่องบินไทยที่จะมาช่วย แต่เจ้าประคุณเอ๋ย ยังหมุนเครื่องไม่ติดเลย เมื่อหมดที่พึ่ง
จึงคิดว่าจะสู้หรือหนี เพราะข้าศึกยังอยู่ห่าง แต่ด้วยเกียรติศักดิ์ของทหารอากาศไทยที่องอาจกล้าหาญ
มีหรือจะหนีศัตรู สู้ยอมพลีชีวิตเพื่อชาติมิดีกว่าหรือ? แม้ข้าศึกจะมีสมรรถภาพดีกว่า และจำนวนมากกว่า
ถึง 1 ต่อ 5 เมื่อเป็นทหารอากาศไทยต้องสู้
จ.อ.ประยูรรีบหันปืนเล็งที่หมายทันที พอได้ระยะก็ปล่อยกระสุนไปให้ข้าศึก 1 หมู่ ทันใดนั้น โมรานทั้ง
5 ลำของข้าศึกก็แยกหมู่ออก แล้วเข้ารุมเล่นงานเครื่องบินไทย ยุทธการทางอากาศดำเนินไปอย่าง
ดุเดือด แต่เป็นการต่อสู้แบบ 1 ต่อ 5 ซึ่งมีทั้งซ้าย ขวา หน้า หลัง
เครื่องบินข้าศึกระเบิดกระสุนปืนขนาด 20 ม.ม. เป็นชุด ๆ ดังกึกก้อง แล้วดึงเลี้ยวขึ้นไป ช่วงจังหวะตอน
เลี้ยวขึ้น มักเปิดจุดอ่อนที่ท้องอันกว้างใหญ่ให้เสมอ นายเรืออากาศตรีศานิตไม่รอช้าฉวยโอกาสทองนี้
ปล่อยกระสุนออกไปประมาณ 4-5 หมู่ ถูกเครื่องบินข้าศึกลำหนึ่งอย่างถนัดถนี่ ทำให้เสียการทรงตัวม้วน
ลงสู่พื้นดินทันที เสร็จไปแล้วหนึ่ง
แต่ทหารอากาศไทยไม่มีเวลาดูเครื่องบินเคราะห์ร้าย เพราะกระสุนปืนข้าศึกอีก 4 ลำยังคอยพิฆาตอยู่
แต่ถ้าบินเข้ามาทางด้านหน้า นายเรืออากาศตรีศานิตก็จะส่งกระสุนปืนกลหน้าเข้าทักทาย หากบินเข้า
มาทางด้านหลัง จ.อ.ประยูรก็จะใช้ปืนกลหลังโบกอำลา แท่นปืนอันหนักถูกหมุนไปมาอย่างคล่องแคล่ว
นานอยู่ราว 15 นาที
จนกระทั่งมีเครื่องบินข้าศึกบินเข้ามาสู่เป้าปืนกลหลัง ทำให้ จ.อ.ประยูรมิรอช้า สาดกระสุนเข้าไป
ทักทายฝ่ายตรงข้าม แชะ…แชะ เสียงปืนลั่นฟรี
พลปืนหลังสะดุ้งโหยง ปืนติดเสียแล้วหรือนี่? จ.อ.ประยูร บอกกับตัวเองเพื่อความรอบคอบ จึงล้ม
ลงมองจานกระสุนทันที คุณพระช่วย กระสุนหมดจาน ด้านประสบการณ์ที่มีมานาน นายเรืออากาศตรี
ศานิตผ่อนเครื่องยนต์ช่วย เพื่อสะดวกในการเปลี่ยนจานกระสุน
ขณะนั้นเครื่องบินไทยได้บินอยู่เหนือจังหวัดนครพนมแล้ว เพื่อความปลอดภัย นายเรืออากาศตรีศานิต
ขับเครื่องบินเข้าหาที่ตั้ง ปตอ.ของไทย เพื่อช่วยยิงสกัดข้าศึกไว้ พอผ่านพ้นกรวยกระสุน ปตอ.
ที่ภาคพื้นดิน ม.ล.ขาบ กุญชร ณ อยุธยา ผู้บังคับการปืนต่อสู้อากาศยานได้ยิงปืนใหญ่ขึ้นขับไล่ ทำให้
ข้าศึกทางด้านฝั่งตรงข้ามแม่น้ำโขงยิงปืนเล็กยาวและปืนกลโต้ตอบกลับมา วิถีกระสุนปืนนัดหนึ่งยิง
มาถูกที่หัวเข่าข้างซ้ายของยุวชนทหารสุกรี วรวงศ์ ขณะที่วิ่งเข้าประจำสนามเพลาะ ล้มลงที่ข้างกอไผ่
แต่บาดแผลไม่ฉกรรจ์
เวลาเดียวกันนั้นเองเครื่องบินขับไล่ของไทยก็ขึ้นจากสนามได้ และบินเข้าขัดขวางข้าศึกมิให้มาทำ
ร้ายเครื่องบินของนายเรืออากาศตรีศานิตได้
ยุทธการบนอากาศระหว่าง 4 ต่อ 2 ดำเนินอย่างดุเดือด สักครู่หนึ่ง พอนายเรืออากาศตรีศานิตเปลี่ย
นจานกระสุนเสร็จเรียบร้อย จึงบินเข้าไปสมทบ ทำให้กลายเป็นการสู้รบแบบ 4 ต่อ 3 ถึงกระนั้น ข้าศึก
ก็หวาดหวั่นในความกล้าหาญของนักบินไทย จึงได้แตกหมู่บินหนีกลับไป
แต่ทว่าในเช้าวันนั้นเครื่องบินฝรั่งเศสก็ได้ทิ้งระเบิดลงมาสร้างความเสียหายแก่นครพนมไม่น้อย อำนาจ
ระเบิดลูกแรกได้ทำลายโรงสีข้างวัดโอกาส และโรงแรมสุขสบาย (ปัจจุบันกลายเป็นที่ตั้งของ
ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ)
ระเบิดลูกที่ 2 ตกลงที่สถานีตำรวจเมืองนครพนม ทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ 3 นาย และยังตกลงที่
ท้ายเมือง มีชาวบ้านบาดเจ็บ 3 คน
ค่ำคืนวันนั้น เวลา 20.00 น. วิทยุกระจายเสียงกรมโฆษณาการ กรุงเทพฯ ได้ประกาศว่า ให้ชาวฝรั่งเศส
ทุกคนที่อยู่ในจังหวัดต่าง ๆ ออกไปจากประเทศ ไทยภายใน 24 ชั่วโมง
ศาลากลางจังหวัดนครพนม (หลังเก่า) ที่ถูกยิงจนพรุน ในช่วง สงครามอินโดจีน (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม
ฉบับพฤศจิกายน 2540)
เช้าวันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน 2483 เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองนครพนมได้ยกกำลังมาที่วัดนักบุญอันนา
(คริสต์จักรหนองแสง) เชิญพระสังฆราชแกวง คุณพ่อมาลทาล คุณพ่อเฟรช และคุณแม่ซีลนี้ไปยังสถานี
ตำรวจ และสั่งให้ออกไปจากประเทศไทย ตั้งแต่เช้าวันนั้น ทั้งนี้รัฐบาลไทยมีความประสงค์ให้ชาวไทย
ทุกคนกลับมานับถือพุทธศาสนา ทำให้โบสถ์คริสตั้งในนครพนมถูกปิดหมดเป็นเวลาหลายปี
การสู้รบระหว่างไทยกับอินโดจีน ฝรั่งเศส กองบัญชาการทหารสูงสุดได้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันภัย
ทางอากาศในทุกจังหวัดที่ประกาศใช้กฎอัยการศึก มีการให้พรางไฟในอาคารบ้านเรือน หลุมหลบภัย
ยังใช้ขุดร่องคูลักษณะสนามเพลาะ ไม่ได้เข้มงวดรัดกุมอะไร เพราะไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบทางการรบอยู่
ในระยะนี้ กองทัพอากาศได้ป่าวประกาศให้ประชาชนมั่นใจในฝีมือสามเสืออากาศคือ นายเรืออากาศตรี
ศานิต นวลมณี พ.อ.อ.ทองใบ พันธุ์สบาย และ จ.อ.ประยูร สุกุมลจันทร์ แห่งกองบินพิบูลสงคราม
วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2483 เวลา 05.45 น. เครื่องบินฝรั่งเศสได้มาทิ้งระเบิดที่มุกดาหาร
จำนวน 14 ลูก นายเรืออากาศตรีจวน สุขเสริมได้นำเครื่องบินขึ้นสกัดข้าศึกที่ลอบบินเข้ามา แต่ได้ถูก
ข้าศึกยิงตกที่บริเวณบ้านตาดทองถึงแก่กรรม
วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลไทยถอนทูตฝรั่งเศสออกไปจากประเทศไทย เนื่อง
จากพันเอกปิซอง ทูตทหารฝรั่งเศสมีพฤติการณ์อันไม่เหมาะสม โดยได้แสดงมรรยาทล่วงเกิน
ต่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทย
วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม เวลา 14.50 น. เครื่องบินฝรั่งเศส 1 ลำ ได้บินมาตรวจการณ์เหนืออำเภอ
มุกดาหาร (ขณะนั้นขึ้นกับนครพนม) ค่ำคืนนั้น เวลา 21.00 น. เครื่องบินฝรั่งเศส 1 ลำ ได้มาทิ้ง
ระเบิดที่ตัวเมืองนครพนมจำนวน 14 ลูก
ต่อมาเวลา 22.05 น. ก็ได้บินเข้ามาทิ้งระเบิดอีก 3 ลูก แต่ได้ถูกปืนต่อสู้อากาศยานของไทยยิ่งตก
โดยมีชาวบ้านเห็นเครื่องบินดิ่งหัวลงในป่าทิศใต้ของเมืองท่าแขกห่างไปประมาณ 800 เมตร หักพัง
ยับเยิน เข้าใจว่านักบินเสียชีวิต ส่วนไทยได้รับความเสียหายจากการถูกทิ้งระเบิดวันนั้นแค่เล็กน้อย
วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2483 เวลา 16.21 น. ฝ่ายฝรั่งเศสที่อยู่เมืองท่าแขกได้ใช้ปืนต่อสู้
อากาศกับปืนใหญ่ ปืนกล ปืนเล็ก ระดมยิงด้วยกระสุนปรัมแบปมายังฝั่งไทยราว 120 นัด กองทหาร
ไทยจึงได้ใช้ปืนใหญ่และปืนกลยิ่งโต้ตอบไปส่งผลให้ฝ่ายฝรั่งเศสยุติการยิงเมื่อเวลา 17.00น.
วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 ฝ่ายฝรั่งเศสได้ใช้ปืนใหญ่ยิงข้ามฟากจากเมืองท่าแขก มายัง
เมืองนครพนมจำนวน 8 ลูก แต่ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย อีกทั้งยังไม่มีสิ่งใดได้รับความเสียหาย ฝ่าย
ไทยได้ใช้ปืนใหญ่ยิงตอบกลับไป 11 ลูก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามมีทีท่าสงบลง
วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2483 เวลา 08.00 น. เครื่องบินฝรั่งเศสได้ทิ้งระเบิด 2 ลูกมาลงที่เมือง
นครพนม แล้วก็บินกลับไป
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2484 เวลา 01.05 น. หน่วยทหารอินโดจีนฝรั่งเศสประมาณ 10 คน
ใช้เรือชะล่าข้ามแม่น้ำโขงมาจากปากหินบูร เพื่อลอบเข้ายึดที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
ณ ที่นั้น ไทยได้ขุดสนามเพลาะไว้ต้านทานข้าศึก และมีราษฎรเป็นยามอากาศในบังคับบัญชาของ
นายจรูญ เกษมสินทธุ์ 3 นาย
ต่อจากยามอากาศไปทางทิศใต้ราว 200 เมตร มียามราษฎร ข้าศึกได้เข้ามาตรงที่ราษฎรเป็นยามอยู่ โดย
มีนายทหารฝรั่งเศสเป็นผู้บังคับบัญชา ส่วนนายสิบพลทหารมีทั้งแขกโมร็อกโกและญวน ได้จับเอาชาวบ้าน
3 คนไปเป็นเชลย คือ นายติง สุวรรณมาโจ, นายสา อุณาพรม, นายแผ้ว บุพศิริ (ถูกจับไปขังนานประมาณ
6 เดือนจึงปล่อยกลับมา) คงเหลือ 2 คนวิ่งหนีกลับมาทางทิศเหนือ เพื่อส่งข่าวแก่ยามอากาศ
นายแผ้ว บุพศิริ 1 ใน 3 คนไทยที่ถูกตับไปเป็นเชลย ใน สงครามอินโดจีน (ภาพจาก ศิลปวัฒนธรรม ฉบับ
พฤศจิกายน 2540)
ขณะนั้นข้าศึกได้ติดตามราษฎรมาอย่างกระชั้นชิด จนถึงที่ตั้งยามอากาศซึ่งมีนายจรูญ เกษมสินทธุ์
เป็นผู้บังคับบัญชา จึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น แต่นายจรูญหัวหน้าป้อมยามอากาศอาสาสมัครถูกรุมแทงด้วย
อาวุธสั้นตายคาที่ ยามอากาศคนอื่นเห็นสู้ไม่ไหว ก็วิ่งมาส่งข่าวแก่ ส.ต.ท.หนู ไชยบุรี
ส.ต.ท.หนู ไชยบุรีเป็นหัวหน้าได้ใช้ปืนยิงต่อสู้ต้านทานข้าศึกเต็มความสามารถ แต่ได้ถูกข้าศึกใช้ปืนกล
ปืนเล็กและลูกระเบิดขว้างโจมตีหมู่รักษาการณ์ตำรวจอย่างรุนแรง จนพลตำรวจบางนายได้ขอร้องให้
ส.ต.ท.หนู ไชยบุรีสั่งถอย
แต่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์หนูเห็นว่า ถ้าจะถอยไปก็จะทำให้ข้าศึกบุกรุกต่อไป จนยึดที่ว่าการอำเภอท่าอุเทน
ได้สะดวก จึงตกลงใจสู้อยู่ ณ ที่นั้นจนถึงที่สุด ขณะนั้น ส.ต.ท.หนูถูกกระสุนปืนยิงบาดเจ็บสาหัสมาก
ต่อมาก็ถูกข้าศึกขว้างระเบิดเข้าใส่จนถึงแก่ความตายอยู่ในสนามเพลาะนั้นเอง
เมื่อ ส.ต.ท.หนู ไชยบุรีได้เสียชีวิตแล้ว พลตำรวจที่รักษาการณ์อยู่เห็นว่าคงสู้ต่อไปไม่ไหวแน่ จึงพากัน
ล่าถอยไปทางหลัง ทำให้ข้าศึกเกิดความไม่แน่ใจ เกรงจะเป็นกลอุบายจากกำลังที่แอบซุ่มอยู่โจมตี
เลยพากันล่าถอยหลังไป โดยได้หอบหิ้วเอาหัวหน้าข้าศึกถูกยิงบาดเจ็บกลับไปด้วย
กองทัพไทยได้รุกเข้าไปพร้อมกันหลาย ๆ ด้าน ทำให้สามารถยึดดินแดนกลับคืนมา 2 พื้นที่ คือ ด้าน
จังหวัดพระตะบอง เสียมราฐและศรีโสภณ อันเป็นพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง
สงครามอินโดจีน ฝรั่งเศสได้สงบลงด้วยข้อตกลงพักรบ เมื่อญี่ปุ่นเข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ยกรณี
พิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศส ตกลงทำสัญญาเลิกรบกันที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 11
มีนาคม พ.ศ. 2484 โดยรัฐบาลไทยได้แต่งตั้ง พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร เป็นหัวหน้า
คณะกรรมการไปเจรจาสันติภาพ ณ กรุงโตเกียว ซึ่งทำให้ไทยได้ดินแดนอินโดจีนคืนมาจากฝรั่งเศส
รัฐบาลได้แต่งตั้งนายควง อภัยวงศ์เป็นประธานกรรมการรับมอบดินแดนคืนจากรัฐบาลฝรั่งเศส
ดินแดนที่ได้กลับคืนมาครั้งนี้ รัฐบาลไทยได้แบ่งออกเป็น 4 จังหวัด คือ พระตะบอง พิบูลสงคราม
จำปาศักดิ์ และลานช้าง
อ่านเพิ่มเติม :